เมนู

พรรณนาวงศ์พระกัสสปพุทธเจ้าที่ 24



ภายหลังต่อมาจากสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคามนะ เมื่อพระศาสนา
ของพระองค์อันตรธานแล้ว สัตว์ที่มีอายุสามหมื่นปี ก็เสื่อมลดลงโดยลำดับจน
ถึงมีอายุสิบปี แล้วเจริญอีก จนมีอายุนับไม่ถ้วน แล้วก็เสื่อมลดลงอีกโดยลำดับ
เมื่อสัตว์เกิดมามีอายุสองหมื่นปี พระศาสดาพระนามว่ากัสสปะ ผู้ปกครอง
มนุษย์เป็นอันมาก ก็อุบัติขึ้นในโลก. พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย แล้ว
บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของพราหมณี
ชื่อว่าธนวดี ผู้มีคุณไพบูลย์ ของพราหมณ์ชื่อว่าพรหมทัตตะ กรุงพาราณสี
ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ตลอดออกจากครรภ์ชนนี ณ อิสิปตนะมิคทายวัน แต่ญาติ
ทรงหลายตั้งพระนามของพระองค์โดยโคตรว่า กัสสปกุมาร พระองค์ครอง
ฆราวาสวิสัยอยู่สองพันปี. มีปราสาท 3 หลังชื่อว่าหังสวา ยสวา และสิรินันทะ
ปรากฏมีนางบำเรอสี่หมื่นเเปดพันนาง มีนางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว
เมื่อบุตรชื่อ วิชิตเสนะ ของ นางสุนันทาพราหมณี เกิดแล้ว
พระองค์ทรงเห็นนิมิต 4 เกิดความสังเวชสลดใจ เมื่อระหว่างที่พระองค์ทรง
ดำริเท่านั้น ปราสาทก็หมุนเหมือนจักรแห่งแป้นทำภาชนะดิน ลอยขึ้นสู่ท้อง
นภากาศ อันคนหลายร้อยแวดล้อมแล้ว ดุจดวงรัชนีกรในฤดูสารท ที่เป็น
กลุ่มทำความงามอย่างยิ่งอันหมู่ดาวแวดล้อมแล้ว ลอยไปประหนึ่งประดับท้อง
นภากาศ ประหนึ่งประกาศบุญญานุภาพ ประหนึ่งดึงดูดดวงตาดวงใจของชน
ประหนึ่งทำยอดไม้ทั้งหลายให้งามยิ่ง เอาต้นโพธิ์พฤกษ์ชื่อนิโครธต้นไทรไว้
ตรงกลางแล้วลงตั้งเหนือพื้นดิน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์ทรงยืน
ที่แผ่นดิน ทรงถือเอาผ้าธงชัยแห่งพระอรหัตที่เทวดาถวาย ทรงผนวชแล้ว

นางบำเรอของพระองค์ก็ลงจากปราสาท เดินทางไปครึ่งคาวุต พร้อมด้วย
บริวารจึงพากันนั่งกระทำให้เป็นดุจค่ายพักของกองทัพ. แต่นั้น คนที่มาด้วย
ก็พากันบวชหมด เว้นนางบำเรอ.
ได้ยินว่า พระมหาบุรุษ อันชนเหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรงบำเพ็ญ
เพียร 7 วัน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาส ที่นางสุนันทาพราหมณี
ถวายแล้ว ทรงพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียน เวลาเย็น ทรงรับหญ้า 8 กำ ที่
คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียว ชื่อ โสมะ ถวาย จึงเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ชื่อต้นนิโครธ
ทรงลาดหญ้ากว้างยาว 15 ศอก ประทับนั่งเหนือสันถัตนั้น บรรลุพระอภิสัม-
โพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯ ล ฯ ตณฺหานํ
ขยมชฺฌคา
ดังนี้ ทรงยับยั้งอยู่ 7 สัปดาห์ ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของ
ภิกษุหนึ่งโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ เสด็จไปทางอากาศ ลงที่อิสิปตนะ
มิคทายวัน กรุงพาราณสี อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศพระ
ธรรมจักร ณ อิสิปตนะมิคทายวันนั้น ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่
สัตว์สองหมื่นโกฏิ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อมาจากสมัยของพระโกนาคมนพุทธเจ้า ก็มี
พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ผู้สูงสุดแห่งสัตว์
สองเท้า ผู้เป็นราชาแห่งธรรม ผู้ทำพระรัศมี.
เรือนแห่งสกุล มีข้าวน้ำโภชนะ เป็นอันมาก
พระองค์ก็สละเสียแล้ว ทรงให้ทานแก่ยาจกทั้งหลาย
ยังใจให้เต็มแล้ว ทำลายเครื่องผูก ดุจโคอุสภะพังคอก
ฉะนั้น ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม.

เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้า ผู้นำโลก ทรงประกาศ
พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่สัตว์สองหมื่น
โกฏิ.


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สญฺฉฑฺฑิตํ ได้แก่ อันเขาละแล้ว ทิ้ง
แล้ว เสียสละแล้ว. บทว่า กุลมูลํ ความว่า เรือนแห่งสกุล มีกองโภคะ
นับไม่ถ้วน มีกองทรัพย์หลายพันโกฏิ มีโภคะเสมือนภพท้าวสหัสสนัยน์ ที่
สละได้แสนยาก ก็สละได้เหมือนอย่างหญ้า. บทว่า ยาจเก ได้แก่ ให้แก่
ยาจกทั้งหลาย. บทว่า อาฬกํ ได้แก่ คอกโค. อธิบายว่า โคอุสภะพังคอก
เสียแล้วก็ไปยังที่ปรารถนาได้ตามสบาย ฉันใด แม้พระมหาบุรุษทำลายเครื่อง
ผูกคือเรือนเสียแล้ว ก็ทรงบรรลุพระอภิสัมโพธิญาณได้ ฉันนั้น.
ต่อมาอีก เมื่อพระศาสดาเสด็จจาริกไปในชนบท อภิสมัยครั้งที่ 2 ได้
มีแก่สัตว์หนึ่งหมื่นโกฏิ ครั้งพระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นประดู่ ใกล้
ประตูสุนทรนคร ทรงแสดงธรรม อภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่สัตว์ห้าพันโกฏิ
ต่อมาอีก ทรงทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว ประทับนั่ง ณ เทวสภาชื่อสุธัมมา ในภพ
ดาวดึงส์ ซึ่งยากนักที่ข้าศึกของเทวดาจะครอบงำได้ เมื่อทรงแสดงอภิธรรม-
ปิฏก 7 คัมภีร์ เพื่อทรงอนุเคราะห์เทวดาทั้งหลาย ในหมื่นโลกธาตุ มีธนวดี
ชนนีของพระองค์เป็นประมุข ทรงยังเทวดาสามพันโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ครั้ง พระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปในโลก 4 เดือน
อภิสมัยครั้งที่ 2 ได้มีแก่สัตว์หนึ่งหมื่นโกฏิ.